

คนส่วนมาก มักจะตัดสินใจเลือกใช้ ฟิล์มทั้งปกป้องรถยนต์ (PPF) หรือฟิล์มกรองแสง โดยได้ด้ม่ค่อยให้ความสนใจในคุณภาพ เท่าที่ควร แต่มักจะใช้การตัดสินใจด้วย 2 เหตุผล คือ
- ยี่ห้อ ถ้าดังก็มักจะยอมจ่ายแพง ถ้ามีแบรนด์ดัง ลงทุนทำการตลาด เยอะๆ ก็สามารถตั้งราคาให้แพงๆเข้าไว้ โดยไม่ได้สมเหตุสมผลกับคุณภาพสินค้า เมื่อเทียบกับเงินที่เราต้องจ่าย แต่ก็พอเข้าใจได้ว่า ต้นทุนในการสร้างแบรนด์จะมีมูลค่าสูง เจ้าของแบรนด์ก็ต้องเอามาบวกในราคาขายสินค้า ยกตัวอย่าง ฟิล์มกรองแสงของของแบรนด์หรู ตั้งกันสูงๆได้ถึง 2-30000 บาทเลย ในขณะที่สินค้าที่ดีกว่าหรือใกล้เคียงกัน แต่แบรนด์รองๆสามารถติดได้ในราที่ 6-7000 บาทเท่านั้น
2. อีกมุมคือการตัดสินที่ราคาถูกเข้าว่า กลุ่มนี้ ก็มักจะเป็นสินค้าที่มีคุณภาพต่ำ แต่ทำให้ ดูคล้ายๆของดี ด้วยการใช้คำโฆษณา ให้เชื่อได้ว่าใช้งานได้เหมือนๆกัน แต่ขายในราคาที่ต่ำกว่าที่ควรเช่น ฟิล์ม PPF ติดรอบคันแค่ ไม่เกิน 30000 บาท จะดูว่าสินค้าเหมือนของดี แต่ขายถูกกว่าเพื่อให้ผู้บริโภคหลงเชื่อ แต่มักจะสร้าง ปัญหามากมายตามมา ดังนั้นการพิจารณาเลือกใช้สินค้าให้คุ้มค่า ควรสนใจที่จะศึกษาข้อมูลให้ดี รวมทั้งควรมีการทดสอบสินค้าบ้าง ในส่วนที่สำคัญและทำได้
การทดสอบคุณสมบัติของฟิล์มกรองแสง (หรือฟิล์มกรองแสงรถยนต์)
เป็นวิธีที่ช่วยให้คุณมั่นใจว่าฟิล์มที่เลือกใช้นั้นมีประสิทธิภาพตามที่ต้องการ โดยสามารถทดสอบได้ง่าย ๆ ดังนี้
- การทดสอบความเข้มของแสง (Transmission Test)
วิธีการง่าย ๆ ในการทดสอบการกรองแสงคือการตรวจสอบว่าฟิล์มสามารถลดปริมาณแสงที่เข้าสู่ภายในรถได้มากแค่ไหน
วิธีทำ:
ใช้ไฟฉายหรือแสงจากหลอดไฟ (หรือแสงแดด) แล้วส่องผ่านฟิล์มกรองแสงที่ติดตั้งบนกระจก มองผ่านฟิล์มจากทั้งสองด้าน (ด้านในและด้านนอก) แล้วประเมินว่ามีการลดความสว่างหรือไม่ ฟิล์มกรองแสงที่ดีจะช่วยลดความสว่างจากแสงที่ส่องผ่านได้มาก
ทดสอบด้วยเครื่อง Optical meter สามารถ บอกเป็นเปอร์เซ็นต์ แสงสว่างส่องผ่านได้ ( Visible light transmission %)
- การทดสอบป้องกัน UV (UV Protection Test)
ฟิล์มกรองแสงที่ดีจะช่วยกรองรังสี UV ซึ่งอาจทำให้สีรถและวัสดุภายในรถเสื่อมสภาพได้ นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับผิวหนัง
วิธีทำ:
ใช้ เครื่องทดสอบ UV ที่สามารถวัดระดับรังสี UV ได้
วัดรังสี UV ก่อนและหลังฟิล์มกรองแสงติดตั้ง โดยใช้เครื่องทดสอบเพื่อตรวจสอบว่าฟิล์มกรองแสงช่วยกรองรังสี UV ได้ดีหรือไม่
- การทดสอบความร้อน (Heat Rejection Test)
ฟิล์มกรองแสงที่ดีจะช่วยลดการเข้าสู่ของความร้อนจากแสงแดด ทำให้ภายในรถเย็นสบายขึ้น
วิธีทำ:
ใช้ เทอร์โมมิเตอร์ วัดอุณหภูมิภายในรถในสภาพที่ไม่ได้ติดฟิล์มกรองแสง (ในวันที่อากาศร้อน)
จากนั้นติดฟิล์มกรองแสงที่กระจกรถและวัดอุณหภูมิในรถอีกครั้งในช่วงเวลาเดียวกัน
เปรียบเทียบอุณหภูมิทั้งก่อนและหลังติดฟิล์ม หากฟิล์มสามารถลดอุณหภูมิได้ดี ก็ถือว่าเป็นฟิล์มที่มีคุณภาพ
หรือในปัจจุบันมีเครท่องวัดการส่งผ่านคลื่นความร้อนได้แล้ว สามารถวัดดูคุณสมบัติการลดความร้อนรวมของตัวฟิล์มได้อย่างง่ายๆเลย
- การทดสอบการสะท้อนแสง ( Visible light Refection test )
ฟิล์มกรองแสงที่ดีจะช่วยลดการสะท้อนของแสงจากกระจกซึ่งอาจสร้างความลำบากในการขับขี่
วิธีทำ:
ทดสอบการสะท้อนแสงโดยการมองผ่านฟิล์มจากภายในรถขณะที่มีแสงแดดจ้า หรือแสงจากไฟหน้ารถ
หากฟิล์มสามารถลดความสว่างที่สะท้อนจากกระจกได้ จะช่วยให้การขับขี่ในสภาพแสงจ้า (เช่น ตอนกลางวันหรือกลางคืน) สบายขึ้น
หรือใช้เครื่องวัดค่าการสะท้อนแสงของฟิล์มด้วยเครื่องมือวัด ( Refection meter) วัดเป็น % การสะท้อนแสงของฟิล์มได้อย่างง่ายดาย
- การทดสอบความทนทาน (Scratch Test)
ฟิล์มกรองแสงที่ดีควรมีความทนทานต่อรอยขีดข่วนและการใช้งาน
วิธีทำ:
ใช้ นิ้วมือ หรือ วัตถุที่มีความแข็งแรง ขีดข่วนเบาๆ บนฟิล์มกรองแสง
หากฟิล์มทนต่อการขีดข่วนและไม่เกิดรอยขีดข่วนที่เห็นได้ชัดเจน ฟิล์มนี้ก็ถือว่ามีความทนทานสูง
หรือใช้เครื่องทดสอบความทนต่อรอยขีดข่วน ที่เรียกว่า pencil hardness test ก็จะทำให้เห็นคุณสมบัติการทนต่อการขูดขีดได้ แม่นยำขึ้น
- การทดสอบความโปร่งใส (Clarity Test) หรือความขุ่นมัว ( Haze )
ฟิล์มกรองแสงที่ดีจะไม่ทำให้ทัศนวิสัยการขับขี่ลดลงจนเกินไป และฟิล์มที่ใส่ไม่ขุ่นมัว จะทำให้ ติดตั้งแล้วมีความสวยงาม ไม่ว่าฟิล์มจะมีความเข้มเท่าไหร่ก็ตาม
วิธีทำ:
มองผ่านกระจกที่ติดฟิล์มกรองแสงจากมุมต่างๆ เช่น มองจากด้านข้างหรือจากด้านหลัง
ตรวจสอบว่าทัศนวิสัยชัดเจนหรือไม่ และดูว่ามีการบิดเบือนหรือไม่
หรือใช้ เครื่องทดสอบค่าความขุ่นมัวของฟิล์มด้วยเครื่อง Haze meter สามารถ ดูค่าเป็นตัวเลขว่าฟิล์มมีความขุ่นมาก น้อย แค่ไหนได้อย่างง่ายดาย
การทดสอบเหล่านี้ช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่า ฟิล์มกรองแสงที่คุณเลือกจะมีประสิทธิภาพในการป้องกันแสงแดด ความร้อน และอันตรายจากรังสี UV รวมถึงความทนทานในการใช้งานจริง
- การทดสอบ PPF
1) แบบง่ายๆ คือการดึงด้วยมือ ว่าฟิล์มมีความเหนียว ทนทาน ยืดหด ได้ดีแค่ไหน
ใช้ไฟเผาเพื่อดูประเภทของวัสดุที่นำมาผลิต หากเผาแล้วลามไฟง่าย ควันและเขม่ามีลักษณะสีดำ หรือน้ำตาลเข้ม แสดงว่าผลิตจากวัสดุเกรดต่ำ พวก PVC หรือ TPH และฉีกขาดง่าย
ถ้าผลิตจาก TPU อย่างดี จะทนทาน ยืดหดได้มาก และเผาไฟ จะไม่ลามไฟไว ควันและเขม่าจะออกสีขาวหรือน้ำตาล อ่อน 2) ทดสอบด้วยเครื่องมือทดสอบ- ความหนา ใช้ digital thickness meter วัดค่าความหนา เป็น ไมครอน
- ทดสอบ ค่าการลดการเกาะของน้ำ ด้วย Hydrophobic tester
- ทดสอบค่าการคืนตัวรอยขูดขีดด้วยตัวเอง จากความร้อน ด้วยเครื่อง Self healing tester
- ทดสอบการทนทานต่อ การยืดหดตัว ด้วยเครื่อง Tensile tester
- ทดสอบความทนต่อการกระแทก ด้วยเครื่อง Gulvaro meter