หลักการเลือกใช้สินค้าในการปกป้องรถยนต์อย่างคุ้มค่า

3.1) การเลือกใช้ PPF ให้คุ้มค่า การเลือกใช้ ฟิล์มปกป้องผิวสรรถยนต์ (Paint Protection Film หรือ PPF) อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่าเงินมีหลายปัจจัยที่ควรพิจารณา เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการรักษาสีรถยนต์และปกป้องจากรอยขีดข่วนและสิ่งต่าง ๆ ดังนั้นการเลือกฟิล์มที่เหมาะสมจะช่วยให้การลงทุนของคุณคุ้มค่าในระยะยาวค่ะ นี่คือเทคนิคในการเลือกฟิล์ม PPF ที่คุ้มค่า:

  1. เลือกฟิล์มที่มีคุณภาพสูง
    วัสดุคุณภาพ: ฟิล์มที่มีคุณภาพจะมีความทนทานสูงต่อรอยขีดข่วนและการเสื่อมสภาพจากแสงแดด เลือกฟิล์มที่ทำจากวัสดุที่มีเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น TPU (Thermoplastic Polyurethane) หรือ พอลิเมอร์ที่มีความยืดหยุ่นสูง ซึ่งจะช่วยให้ฟิล์มทนทานต่อสภาพอากาศต่าง ๆ และยืดอายุการใช้งาน
    ยืดหยุ่นสูง: ฟิล์มที่ยืดหยุ่นจะติดแนบกับผิวรถได้ดีและสามารถปกป้องจากแรงกระแทกหรือรอยขีดข่วนได้ดีกว่าฟิล์มที่ไม่ยืดหยุ่น
  2. เลือกฟิล์มที่สามารถซ่อมแซมตัวเอง (Self-healing)
    ฟิล์มที่มีเทคโนโลยี self-healing สามารถรักษารูปร่างได้เองเมื่อเกิดรอยขีดข่วนที่ไม่ลึกมาก ฟิล์มชนิดนี้จะช่วยให้สีรถของคุณดูใหม่อยู่เสมอ โดยไม่ต้องมีการซ่อมแซมหรือเปลี่ยนฟิล์มบ่อย ๆ
  3. เลือกฟิล์มที่มีการรับประกัน
    ฟิล์ม PPF ที่ดีมักจะมาพร้อมกับการรับประกันการใช้งานหลายปี (บางรุ่นอาจรับประกัน 5-10 ปี) ซึ่งจะช่วยให้คุณมั่นใจว่าฟิล์มที่ติดตั้งจะไม่เสื่อมสภาพเร็วเกินไป และหากมีปัญหาในการใช้งาน ฟิล์มสามารถเปลี่ยนใหม่ได้ตามเงื่อนไขการรับประกัน
  4. เลือกฟิล์มที่เหมาะกับสภาพอากาศในพื้นที่ของคุณ
    พิจารณาสภาพอากาศที่คุณขับขี่บ่อย ๆ ถ้าคุณขับในพื้นที่ที่มีแดดจัด ฟิล์มที่มีคุณสมบัติป้องกันแสง UV อย่างดีและทนต่อรังสียูวีจะเหมาะสมที่สุด เพราะแสงแดดจะทำให้สีรถซีดจางเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณขับในพื้นที่ที่มีฝนตกบ่อย ฟิล์มที่กันน้ำและช่วยให้ผิวรถแห้งเร็วจะเป็นทางเลือกที่ดี
  5. เลือกฟิล์มที่มีความโปร่งใส
    ฟิล์มปกป้องผิวรถที่ดีควรจะโปร่งใสและไม่ทำให้สีของรถเปลี่ยนไปจากเดิม ฟิล์มที่มีความโปร่งใสสูงจะช่วยให้สีรถยังคงสวยงามและดูเงางามเหมือนเดิม โดยไม่ทำให้เกิดผลกระทบต่อสีรถ
  6. เลือกจากรีวิวและความน่าเชื่อถือของแบรนด์
    แบรนด์ที่มีชื่อเสียง: ควรเลือกฟิล์มจากแบรนด์ที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับในวงการ เช่น STEK Xpel Ameritech เป็นต้น ซึ่งมักจะมีประสบการณ์ในการผลิตฟิล์มคุณภาพสูง
    อ่านรีวิว: การอ่านรีวิวจากผู้ใช้จริงจะช่วยให้คุณเข้าใจถึงประสิทธิภาพของฟิล์มในระยะยาว ว่ามีข้อดีหรือข้อเสียอย่างไร รวมถึงการให้บริการหลังการขายของแบรนด์นั้น ๆ
  7. พิจารณาราคาตามคุณภาพ
    ฟิล์ม PPF ที่มีคุณภาพสูงมักจะมีราคาสูงกว่าฟิล์มทั่วไป แต่เมื่อพิจารณาถึงอายุการใช้งานและการปกป้องที่มีประสิทธิภาพแล้ว ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ควรพิจารณาการลงทุนในฟิล์มที่มีคุณสมบัติทนทานและรับประกันการใช้งานยาวนาน เพื่อหลีกเลี่ยงการต้องเปลี่ยนฟิล์มบ่อย ๆ ในอนาคต
  8. การติดตั้งจากมืออาชีพ
    การติดตั้งฟิล์ม PPF ควรทำโดยผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในการติดตั้งฟิล์มอย่างถูกต้อง เพราะการติดตั้งไม่ดีอาจทำให้ฟิล์มเกิดฟองอากาศ, รอยยับ หรือไม่สามารถปกป้องได้เต็มประสิทธิภาพ ค่าติดตั้งที่คุ้มค่าคือการเลือกช่างที่มีความชำนาญในการติดตั้งฟิล์ม
  9. เลือกฟิล์มที่มีการเคลือบกันน้ำและทำความสะอาดง่าย
    ฟิล์มที่มีการเคลือบผิวหรือมีคุณสมบัติกันน้ำจะช่วยให้การทำความสะอาดง่ายขึ้น และลดการสะสมของสิ่งสกปรกบนผิวรถ การทำความสะอาดรถจะสะดวกขึ้นและฟิล์มจะคงประสิทธิภาพในการปกป้องได้ยาวนาน
  10. พิจารณาการติดตั้งทั้งคันหรือบางส่วน
    หากคุณต้องการการปกป้องที่คุ้มค่าควรพิจารณาการติดตั้งฟิล์ม PPF ทั้งคัน หรือบางจุดที่สำคัญ เช่น กันชนหน้า, ฝากระโปรงหน้า หรือพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการเกิดรอยขีดข่วนจากการขับขี่ในชีวิตประจำวัน


3.2) การเลือกใช้ ฟิล์มนิรภัยปกป้องกระจกบานหน้ารถยนต์ (Windshield Protection Film) ซึ่งปัจจุบัน มี 2 ประเภท ตามการผลิตหรือวัสดุที่ใช้ในการผลิต ได้แก่ ประเภท ที่ทำจาก พลาสติกชนิด PET แบบเดียวกับที่ผลิตฟิล์มกรองแสง และ ประเภทที่ผลิตจาก TPU แบบเดียวกับที่ใช้ผลิตฟิล์มที่ปกป้องผิวสีรถ หรือ PPF นั่นเอง แตกต่างตรงที่มีความใสเคลียร์ มากกว่า และความหนาที่แตกต่างกัน เทคนิคในการเลือกมีดังนี้

การเลือก ฟิล์มนิรภัยสำหรับกระจกบานหน้ารถยนต์ (Windshield Protection Film) มีความสำคัญเพื่อเพิ่มความปลอดภัยและยืดอายุการใช้งานของกระจก รวมถึงการป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากสิ่งต่าง ๆ เช่น ก้อนหินหรือเศษวัสดุที่กระเด็นมา ปัจจัยต่าง ๆ ที่ควรพิจารณามีดังนี้:

  1. เลือกฟิล์มที่มีคุณภาพสูง
    วัสดุคุณภาพ: ฟิล์มนิรภัยที่ดีจะทำจากวัสดุที่มีคุณภาพสูง เช่น พอลิเมอร์ที่ทนทานและยืดหยุ่น ซึ่งช่วยในการป้องกันกระจกจากแรงกระแทกและลดความเสี่ยงในการแตกหัก
    ความทนทาน: ฟิล์มควรมีความทนทานต่อสภาพอากาศ เช่น การสัมผัสกับความร้อนจากแสงแดดหรือการขับขี่ในสภาพอากาศที่มีฝนตก ซึ่งจะช่วยให้ฟิล์มคงทนและปกป้องกระจกได้ดี
  2. เลือกฟิล์มที่มีคุณสมบัติทนต่อการขีดข่วน
    ฟิล์มนิรภัยที่ดีควรมีชั้นเคลือบที่สามารถป้องกันรอยขีดข่วนจากการสัมผัสกับสิ่งต่าง ๆ เช่น กิ่งไม้ หรือเศษหินที่อาจกระเด็นมา ซึ่งช่วยให้กระจกยังคงความใสและใช้งานได้นาน
  3. เลือกฟิล์มที่มีความโปร่งใสสูง
    ฟิล์มที่เลือกควรมีความโปร่งใสและไม่บังทัศนวิสัยการขับขี่ ฟิล์มที่มีคุณภาพสูงจะไม่ทำให้เกิดการเบลอหรือทำให้การมองเห็นลดลง โดยเฉพาะในช่วงกลางวันหรือเมื่อขับขี่ในเวลากลางคืน
  4. เลือกฟิล์มที่มีการเคลือบป้องกันรังสี UV
    ฟิล์มที่ดีจะช่วยกรองรังสี UV จากแสงแดดที่สามารถทำลายผิวหนังและสีของวัสดุภายในรถยนต์ได้ การเลือกฟิล์มที่มีคุณสมบัติกันรังสี UV จึงช่วยปกป้องทั้งสุขภาพของผู้ขับขี่และรักษาภายในรถจากการเสื่อมสภาพ
  5. เลือกฟิล์มที่มีคุณสมบัติซ่อมแซมตัวเอง (Self-Healing)
    ฟิล์มที่มีคุณสมบัติ self-healing จะช่วยให้ฟิล์มคืนรูปหลังจากที่ได้รับรอยขีดข่วนหรือแรงกระแทกที่ไม่รุนแรง ฟิล์มนี้สามารถหายรอยขีดข่วนเล็ก ๆ ด้วยการใช้ความร้อนจากแสงแดดหรือการใช้ผ้าเปียกทำให้ฟิล์มกลับมาเรียบเหมือนเดิม
  6. พิจารณาฟิล์มที่ติดตั้งได้ง่ายและมีอายุการใช้งานยาวนาน
    ฟิล์มที่ดีควรมีอายุการใช้งานยาวนานและทนทาน การเลือกฟิล์มที่สามารถติดตั้งได้ง่ายและไม่ต้องการการดูแลรักษามากเกินไปจะช่วยให้คุณประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในระยะยาว
  7. เลือกฟิล์มที่มีการรับประกัน
    ฟิล์มที่มีการรับประกันยาวนานจะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการใช้งาน เพราะหากฟิล์มเกิดปัญหาหรือเสื่อมสภาพก่อนกำหนด คุณสามารถเปลี่ยนใหม่ได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม การเลือกฟิล์มที่มีการรับประกัน 5-10 ปีเป็นทางเลือกที่ดี
  8. เลือกจากแบรนด์ที่เชื่อถือได้
    ฟิล์มนิรภัยจากแบรนด์ที่มีชื่อเสียงและได้รับความนิยมในตลาดมักมีคุณภาพสูง เช่น 3M, XPEL หรือ Llumar ซึ่งแบรนด์เหล่านี้มักจะมีประสบการณ์ในการผลิตฟิล์มที่มีคุณสมบัติครบถ้วน และการติดตั้งที่เหมาะสม
  9. พิจารณาราคาและคุ้มค่ากับการลงทุน
    ฟิล์มบางประเภทอาจมีราคาสูงกว่าฟิล์มทั่วไป แต่คุณสมบัติในการป้องกันและการรักษาความทนทานในระยะยาวทำให้เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ควรเลือกฟิล์มที่มีความสมดุลระหว่างราคาและคุณภาพ เพื่อให้ได้ความคุ้มค่าสูงสุด
  10. การติดตั้งจากมืออาชีพ
    การติดตั้งฟิล์มนิรภัยจากช่างที่มีความเชี่ยวชาญจะช่วยให้ฟิล์มติดตั้งได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพสูงสุด ฟิล์มที่ติดตั้งไม่ดีอาจทำให้เกิดฟองอากาศหรือรอยยับ ซึ่งจะลดประสิทธิภาพในการปกป้องกระจก
  11. พิจารณาความทนทานต่อแรงกระแทก
    ฟิล์มที่เลือกควรทนทานต่อแรงกระแทกจากวัตถุต่าง ๆ ที่อาจกระเด็นมาจากถนน เช่น ก้อนหิน หรือเศษวัสดุ ซึ่งอาจทำให้กระจกบานหน้าแตกหักได้ การเลือกฟิล์มที่สามารถเพิ่มความแข็งแรงให้กับกระจกจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดความเสียหาย

3.3) เทคนิคการเลือกใช้ ฟิล์มนิรภัยกระจกหลังคารถยนต์ (Sunrroof and Moonroof)

การเลือก ฟิล์มนิรภัยสำหรับกระจกหลังคารถยนต์ (Sunroof หรือ Moonroof) เป็นอีกหนึ่งวิธีในการปกป้องและเพิ่มความปลอดภัยให้กับรถยนต์ของคุณ ฟิล์มชนิดนี้จะช่วยให้การขับขี่สะดวกสบายและปลอดภัยยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีแดดจัดหรือลมแรง ข้อดีที่ฟิล์มจะช่วยลดความร้อนจากแสงแดด และป้องกันการแตกหักของกระจกที่อาจเกิดจากแรงกระแทกหรือเศษวัสดุที่กระเด็นมา

เทคนิคการเลือกใช้ฟิล์มนิรภัยสำหรับ Sunroof หรือ Moonroof ให้คุ้มค่า:

  1. เลือกฟิล์มที่มีการกรองรังสี UV สูง
    ฟิล์มที่กรองรังสี UV ได้ถึง 99% จะช่วยปกป้องทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารจากรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) ที่สามารถทำลายผิวหนัง และยังช่วยรักษาสีของวัสดุภายในรถจากการซีดจาง
    ฟิล์มที่กรอง UV จะทำให้การขับขี่ในวันที่แดดร้อนสบายขึ้น เพราะช่วยลดการสะสมความร้อนภายในห้องโดยสาร
  2. เลือกฟิล์มที่มีคุณสมบัติป้องกันความร้อน (Heat Rejection)
    ฟิล์มที่มีคุณสมบัติป้องกันความร้อนจะช่วยลดการสะสมความร้อนจากแสงแดด โดยเฉพาะในกระจกหลังคา (Sunroof) หรือ Moonroof ที่มีแนวโน้มสะสมความร้อนมากกว่ากระจกบานอื่นๆ ฟิล์มที่ดีจะช่วยลดอุณหภูมิภายในรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    การเลือกฟิล์มที่มีความสามารถในการลดความร้อน (IR Rejection) ได้ดีจะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในระหว่างการขับขี่ในวันที่อากาศร้อน
  3. เลือกฟิล์มที่มีความทนทานต่อการแตกหัก (Impact Resistance)
    ฟิล์มที่ดีควรมีความแข็งแรงและทนทานต่อแรงกระแทก ซึ่งจะช่วยป้องกันกระจกหลังคารถจากการแตกหักหรือร้าวเมื่อเจอกับสิ่งกระทบ เช่น ก้อนหินหรือเศษวัสดุต่าง ๆ ที่อาจกระเด็นขึ้นมา
    ฟิล์มที่มีคุณสมบัตินี้ช่วยเสริมความปลอดภัยให้กับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร หากกระจกบานหลังคาแตก ฟิล์มจะช่วยให้กระจกไม่กระจายตัวออกไปทำให้ลดความเสี่ยงจากการบาดเจ็บ
  4. เลือกฟิล์มที่มีการเคลือบกันน้ำ (Hydrophobic)
    ฟิล์มที่มีคุณสมบัติ hydrophobic หรือกันน้ำจะช่วยให้การขับขี่ในวันที่ฝนตกสะดวกขึ้น เพราะน้ำฝนจะไม่เกาะอยู่บนกระจกหลังคา ทำให้สามารถมองเห็นได้ชัดเจน
    นอกจากนี้ยังช่วยลดการสะสมของคราบน้ำหรือฝุ่นที่อาจทำให้กระจกหลังคาดูหมอง
  5. เลือกฟิล์มที่มีความทนทานต่อการขีดข่วน (Scratch Resistance)
    ฟิล์มที่ทนทานต่อการขีดข่วนจะช่วยยืดอายุการใช้งานของฟิล์มได้ยาวนาน เนื่องจากฟิล์มที่ขีดข่วนง่ายอาจทำให้ลดประสิทธิภาพในการปกป้องและทำให้ดูไม่สวยงาม
    ฟิล์มที่มีคุณสมบัตินี้ยังช่วยลดการสะสมสิ่งสกปรกหรือรอยขีดข่วนจากการสัมผัสกับวัตถุรอบข้าง
  6. เลือกฟิล์มที่มีความโปร่งใส (Clarity)
    ฟิล์มที่ดีจะไม่ทำให้การมองเห็นจากภายในรถลดลง ฟิล์มที่มีความโปร่งใสสูงจะช่วยให้ทัศนวิสัยในการขับขี่ไม่ถูกขัดขวาง โดยเฉพาะในเวลากลางคืนหรือในสภาพอากาศที่มีหมอก
    ฟิล์มที่ไม่ทำให้กระจกมืดเกินไปจะช่วยให้แสงที่ผ่านเข้ามาจากภายนอกไม่แย่ลง และผู้ขับขี่สามารถมองเห็นท้องฟ้าและสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ได้อย่างชัดเจน
  7. เลือกฟิล์มที่มีคุณสมบัติป้องกันแสงสะท้อน (Glare Reduction)
    ฟิล์มที่มีคุณสมบัติลดแสงสะท้อนจะช่วยให้การขับขี่ในช่วงเวลากลางวัน หรือในสภาพแสงที่รุนแรงสบายขึ้น โดยเฉพาะแสงสะท้อนจากพื้นถนนหรือสิ่งกีดขวางต่าง ๆ ที่อาจรบกวนการขับขี่
    ฟิล์มประเภทนี้จะช่วยลดความเหนื่อยล้าของผู้ขับขี่และเพิ่มความปลอดภัย
  8. เลือกฟิล์มที่มีการรับประกัน
    ฟิล์มที่มีการรับประกันจากผู้ผลิตหรือผู้ติดตั้งจะช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าฟิล์มที่ติดตั้งมีคุณภาพและสามารถใช้งานได้อย่างยาวนาน
    การรับประกันที่ดีควรครอบคลุมเรื่องความเสียหายจากการใช้งานหรือการติดตั้งผิดพลาด และอาจมีบริการหลังการขายที่ช่วยแก้ไขปัญหาหากเกิดข้อผิดพลาด
  9. เลือกฟิล์มจากแบรนด์ที่เชื่อถือได้
    เลือกฟิล์มจากแบรนด์ที่มีชื่อเสียงและได้รับความนิยม เช่น STEK, XPEL, Ameritech เป็นต้น ซึ่งมีประสบการณ์ในการผลิตฟิล์มคุณภาพสูง
    ฟิล์มจากแบรนด์ที่มีชื่อเสียงมักจะมีการรับประกันคุณภาพที่ดีกว่า และบริการติดตั้งจากช่างมืออาชีพที่สามารถทำงานได้อย่างถูกต้อง
  10. การติดตั้งจากช่างที่มีประสบการณ์
    การติดตั้งฟิล์มให้ถูกต้องและเหมาะสมกับกระจกหลังคารถนั้นมีความสำคัญมาก ควรเลือกช่างที่มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญในการติดตั้งฟิล์มประเภทนี้
    การติดตั้งที่ถูกต้องจะช่วยให้ฟิล์มทำงานได้เต็มประสิทธิภาพและไม่มีปัญหาหลังการติดตั้ง

3.4) เทคนิคการเลือกใช้ ฟิล์มปกป้องโคมไฟหน้าและหลังของรถยนต์ (Light protection film) ก่อนอื่นต้องขอบอกว่า มีคนจำนวนมาก รวมทั้งศูนย์บริการติดตั้งฟิล์ม PPF มักนำเอาฟิล์มแบบที่ปกป้องผิวตัวรถ ไปติดกับผิวโคมไฟรถยนต์ ซึ่งติดตั้งได้ ดูจะใช้งานได้คล้ายๆกัน แต่ไม่ความใช้แบบนี้ เพราะฟิล์มที่ออกแบบมาติดกับผิวรถ ใช้กาวคนละแบบกับฟิล์มที่ใช้กับโคมไฟซึ่งมีการเคลือกแลกเกอร์ที่บางและไม่ติดแน่นเหมือนผิวตัวรถยนต์ ทำให้เวลาลอกฟิล์มออก จะทำให้ผิวของโคมไฟ หลุกลอกออกมา เสียหายได้เกือทุกกรณี จึงควรเลือกใช้ฟิล์มชนิดที่ผลิตมาเพื่อผิวโคมไฟโดยเฉพาะเท่านั้น การเลือกใช้ ฟิล์มปกป้องผิวโคมไฟหน้าและหลังรถยนต์ (Light Protection Film) เป็นหนึ่งในวิธีที่ดีในการรักษาความชัดเจนและประสิทธิภาพของไฟหน้ารถยนต์หรือไฟท้าย ซึ่งฟิล์มประเภทนี้มีความสำคัญในการปกป้องจากรอยขีดข่วน, การแตกหัก, หรือสิ่งต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการขับขี่ โดยเฉพาะเมื่อรถยนต์ใช้งานในสภาพแวดล้อมที่เสี่ยงต่อการเกิดความเสียหายที่โคมไฟ

วิธีการเลือกใช้ ฟิล์มปกป้องผิวโคมไฟหน้าและหลังรถยนต์ ให้คุ้มค่า:

  1. เลือกฟิล์มที่มีคุณสมบัติกันรอยขีดข่วน (Scratch Resistance)
    ฟิล์มที่ดีควรมีคุณสมบัติในการป้องกันการขีดข่วนจากสิ่งที่อาจกระทบหรือสัมผัสกับโคมไฟ เช่น กิ่งไม้, หิน, หรือสิ่งสกปรกที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการขับขี่
    ฟิล์มที่ทนทานต่อการขีดข่วนช่วยให้โคมไฟหน้าหรือหลังของรถยนต์ยังคงมีความใสและดูดีเหมือนใหม่
  2. เลือกฟิล์มที่มีความทนทานต่อแรงกระแทก (Impact Resistance)
    ฟิล์มปกป้องโคมไฟที่ดีจะช่วยปกป้องโคมไฟจากแรงกระแทกที่อาจเกิดขึ้นจากวัตถุต่าง ๆ ที่กระเด็นขึ้นมา เช่น ก้อนหิน, กรวด หรือเศษวัสดุจากถนน ซึ่งอาจทำให้โคมไฟเกิดการแตกร้าวหรือชำรุด
    ฟิล์มที่มีความทนทานจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากสิ่งเหล่านี้
  3. เลือกฟิล์มที่มีความโปร่งใส (Clarity)
    ฟิล์มที่มีคุณภาพดีจะต้องมีความโปร่งใสสูงไม่ทำให้แสงที่ผ่านโคมไฟลดทอนลง
    ฟิล์มที่มีความโปร่งใสช่วยรักษาประสิทธิภาพของไฟหน้าและไฟท้ายในการให้แสงสว่างได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ทำให้ไฟดูหม่นหรือขุ่น
  4. เลือกฟิล์มที่ป้องกันรังสี UV
    ฟิล์มบางประเภทมีคุณสมบัติในการป้องกันรังสี UV ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้โคมไฟเสียหายจากการสัมผัสกับแสงแดดจัดๆ
    การกรองรังสี UV จะช่วยรักษาความคงทนของวัสดุที่ใช้ในการผลิตโคมไฟ และลดโอกาสที่โคมไฟจะเหลืองหรือซีดจางเมื่อเวลาผ่านไป
  5. เลือกฟิล์มที่ติดตั้งง่ายและไม่ทิ้งฟองอากาศ
    ฟิล์มที่ดีควรสามารถติดตั้งได้ง่ายและไม่ทิ้งฟองอากาศระหว่างการติดตั้ง ฟิล์มที่มีคุณสมบัตินี้จะช่วยให้ผลลัพธ์การติดตั้งดูเรียบเนียน
    ฟิล์มที่ติดตั้งได้ดีจะไม่ทำให้การมองเห็นแสงจากโคมไฟมีปัญหาหรือมีรอยฟองอากาศระหว่างการใช้งาน
  6. เลือกฟิล์มที่ทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ (Weather Resistance)
    ฟิล์มที่มีคุณภาพจะทนทานต่อสภาพอากาศต่างๆ เช่น แสงแดดที่แรง, ฝน, หรือหิมะ ซึ่งช่วยให้ฟิล์มไม่เสื่อมสภาพเร็วเกินไป
    ฟิล์มที่ทนทานจะช่วยปกป้องโคมไฟจากสิ่งที่อาจเกิดขึ้นจากการสัมผัสกับสภาพอากาศภายนอก
  7. เลือกฟิล์มที่มีอายุการใช้งานยาวนาน
    ฟิล์มที่ดีควรมีอายุการใช้งานยาวนานไม่ว่าจะเป็นในสภาพอากาศร้อนหรือเย็น รวมทั้งไม่เสื่อมสภาพเมื่อสัมผัสกับสารเคมีหรือการทำความสะอาดที่บ่อยเกินไป
    ควรเลือกฟิล์มที่มีการรับประกันอายุการใช้งานจากผู้ผลิตเพื่อความมั่นใจ
  8. เลือกฟิล์มจากแบรนด์ที่เชื่อถือได้
    ฟิล์มจากแบรนด์ที่มีชื่อเสียง ซึ่งปัจจุบันมีผู้ผลิตได้น้อยราย เนื่องจากเป็นสินค้าที่อ่อนไหว ไม่ทนทานต่อการใช้งาน แต่หากเลือกใช้แบรนด์ที่ดี และเชี่ยวชาญ มักจะมีคุณภาพสูงและมีความทนทานต่อการใช้งาน
    แบรนด์ที่ดีมักมีการรับประกันคุณภาพและการติดตั้งที่มีมาตรฐาน รวมถึงบริการหลังการขายที่ช่วยให้คุณมั่นใจในผลิตภัณฑ์
  9. เลือกฟิล์มที่มีความยืดหยุ่น (Flexibility)
    ฟิล์มที่มีความยืดหยุ่นสูงจะช่วยให้การติดตั้งเป็นไปได้ง่าย โดยไม่เกิดการยับหรือบิดเบี้ยวที่โคมไฟ
    ฟิล์มที่ยืดหยุ่นจะทำให้ฟิล์มติดได้พอดีกับรูปร่างของโคมไฟโดยไม่มีฟองอากาศหรือความเสียหาย
  10. พิจารณาเคลือบพิเศษ (Coatings)
    ฟิล์มบางชนิดมีการเคลือบสารที่ช่วยป้องกันสิ่งสกปรกจากการสะสม หรือช่วยในการทำความสะอาดง่าย เช่น การเคลือบกันน้ำ, เคลือบกันฝุ่น หรือสารเคลือบที่ทำให้ฟิล์มไม่เกาะฝุ่นและน้ำ
    การเคลือบเหล่านี้ช่วยให้ฟิล์มดูใหม่อยู่เสมอและทำให้การทำความสะอาดง่ายขึ้น
    การเลือก ฟิล์มปกป้องผิวโคมไฟหน้าและหลังรถยนต์ ให้คุ้มค่าคือการพิจารณาคุณสมบัติหลาย ๆ ด้าน เช่น ความทนทานต่อรอยขีดข่วน, ความทนทานต่อแรงกระแทก, การป้องกัน UV, ความโปร่งใส และการติดตั้งที่ง่ายและมีประสิทธิภาพ ควรเลือกฟิล์มจากแบรนด์ที่เชื่อถือได้ และตรวจสอบให้แน่ใจว่าฟิล์มมีการรับประกันคุณภาพเพื่อความคุ้มค่าในระยะยาว!

3.5) หลักการเลือกใช้ฟิล์มกรองแสงกันความร้อนในยุคปัจจุบัน ก็ต้องยอมรับว่า ฟิล์มที่ดีและเหมาะสมกับการใช้งานกับกระจกรถยนต์ ต้องเป็น Nano technology film เป็นสำคัญ โดยมีหลักการพิจารณาเลือกใช้ให้คุ้มค่าดังนี้ หลักการในการเลือกใช้ ฟิล์มกรองแสงกันความร้อนชนิดนาโนเทคโนโลยี หรือ เซรามิกฟิล์ม ให้คุ้มค่ามีดังนี้:

  1. ความสามารถในการป้องกันความร้อน (Heat Rejection)
    ฟิล์มกรองแสงประเภท นาโนเทคโนโลยี และ เซรามิกฟิล์ม เป็นฟิล์มที่มีคุณสมบัติในการป้องกันความร้อนจากแสงแดดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ฟิล์มเหล่านี้สามารถกรองความร้อน (Infrared Rejection) ได้สูง ซึ่งช่วยลดอุณหภูมิภายในห้องโดยสารของรถ
    ฟิล์มเซรามิกส์จะช่วยให้เครื่องปรับอากาศทำงานได้ดีขึ้นโดยการลดภาระการทำงานของเครื่องปรับอากาศในขณะที่ลดการใช้พลังงาน
  2. การกรองรังสี UV (UV Protection)
    ฟิล์มกรองแสงที่มีคุณภาพ เช่น ฟิล์มนาโนเทคโนโลยีและเซรามิก จะสามารถกรอง รังสีอัลตราไวโอเลต (UV) ได้สูงถึง 99% หรือมากกว่านั้น
    รังสี UV เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้วัสดุภายในรถยนต์ เช่น เบาะหนังและพลาสติก เสียหายหรือซีดจาง ฟิล์มที่มีคุณสมบัติกัน UV จะช่วยยืดอายุการใช้งานของวัสดุภายในรถและปกป้องสุขภาพของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร
  3. ความทนทานและอายุการใช้งาน
    ฟิล์มเซรามิกและนาโนเทคโนโลยีมีความทนทานต่อสภาพอากาศที่รุนแรง เช่น แดดจัด ฝนตก หรือหิมะ ฟิล์มชนิดนี้มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน และไม่เปลี่ยนสีเมื่อเวลาผ่านไป
    ฟิล์มเหล่านี้จะไม่เสื่อมสภาพหรือหลุดลอกออกง่าย ๆ แม้จะสัมผัสกับความร้อนหรือสารเคมีที่ใช้ในการทำความสะอาดรถยนต์
  4. ความโปร่งใสและทัศนวิสัยที่ชัดเจน
    ฟิล์มนาโนเทคโนโลยีและเซรามิกมักมีความโปร่งใสสูง ซึ่งหมายความว่าเมื่อคุณติดตั้งฟิล์มแล้ว คุณยังสามารถมองเห็นภายนอกได้อย่างชัดเจน โดยไม่ทำให้การมองเห็นเสียหาย
    ฟิล์มเหล่านี้ช่วยลดแสงสะท้อนจากภายนอกทำให้การขับขี่ในเวลากลางวันหรือกลางคืนปลอดภัยยิ่งขึ้น
  5. คุณสมบัติการป้องกันรอยขีดข่วน (Scratch Resistance)
    ฟิล์มที่ทำจาก นาโนเทคโนโลยี และ เซรามิก มีความทนทานต่อการขีดข่วนและการกระแทกได้ดีกว่าฟิล์มทั่วไป ทำให้ดูใหม่และใช้งานได้ยาวนาน
    ฟิล์มที่ทนทานจะไม่เสียหายง่ายจากการทำความสะอาดหรือการสัมผัสกับสิ่งของที่อาจทำให้เกิดรอยขีดข่วน
  6. การป้องกันแสงสะท้อน (Glare Reduction)
    ฟิล์มเซรามิกและนาโนเทคโนโลยีสามารถช่วยลดแสงสะท้อนจากถนนและจากแสงแดดที่ส่องเข้ามาในรถ ทำให้การขับขี่ในวันที่แดดจัดหรือในช่วงเย็นที่มีแสงสะท้อนได้สะดวกและปลอดภัยยิ่งขึ้น
    การลดแสงสะท้อนจะช่วยลดความเหนื่อยล้าในระหว่างการขับขี่และช่วยให้ทัศนวิสัยชัดเจนขึ้น
  7. การเลือกจากระดับความเข้มของฟิล์ม (Tint Level)
    ฟิล์มทั้งสองประเภทมีหลายระดับความเข้มที่สามารถเลือกได้ตามความต้องการและการใช้งาน เช่น หากต้องการความเป็นส่วนตัวหรือการปกป้องจากแสงแดดมากขึ้น อาจเลือกฟิล์มที่มีความเข้มข้นมากขึ้น แต่ต้องพิจารณาความเหมาะสมกับกฎหมายในประเทศที่คุณอาศัยอยู่
    ควรเลือกฟิล์มที่ไม่ทำให้การมองเห็นภายในรถมืดเกินไป เพื่อไม่ให้กระทบกับความปลอดภัยในการขับขี่
  8. การเลือกแบรนด์และการติดตั้งที่มีคุณภาพ
    การเลือกฟิล์มกรองแสงจากแบรนด์ที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับจากผู้ใช้งาน เช่น STEK , Ameritech , Vkool Huper Optik เป็นต้น เป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยให้คุณมั่นใจได้ในเรื่องคุณภาพของฟิล์มและการรับประกันหลังการติดตั้ง
    ควรเลือกติดตั้งฟิล์มจากผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในการติดตั้ง เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุดและไม่เกิดปัญหาในระยะยาว
  9. การประเมินค่าใช้จ่ายและความคุ้มค่า
    ฟิล์มที่ใช้เทคโนโลยี นาโน และ เซรามิก มักจะมีราคาสูงกว่าฟิล์มประเภทอื่น ๆ แต่ควรพิจารณาความคุ้มค่าในระยะยาว เนื่องจากฟิล์มเหล่านี้มีอายุการใช้งานยาวนานและมีคุณสมบัติป้องกันความร้อนและ UV ที่ดีเยี่ยม
    เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้พลังงานจากเครื่องปรับอากาศในระยะยาว ฟิล์มประเภทนี้สามารถช่วยประหยัดพลังงานและทำให้ขับขี่ได้สะดวกสบายยิ่งขึ้น