IRR
Infrared Rejection
หรือ การป้องกันรังสีอินฟราเรด (IR)
หมายถึงความสามารถของฟิล์มกรองแสงในการป้องกันหรือบล็อกการผ่านของรังสีอินฟราเรดจากแสงแดดเข้าสู่ภายในรถยนต์หรือพื้นที่ที่ฟิล์มถูกติดตั้ง
รังสีอินฟราเรด (Infrared – IR) คืออะไร?
รังสีอินฟราเรด (IR) เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความยาวคลื่นยาวกว่าแสงที่มองเห็น แต่สั้นกว่ามคลื่นไมโครเวฟ โดยมีความยาวคลื่น 700-3000 นาโนเมตร ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับ ความร้อน หรือ การถ่ายเทความร้อน รังสีอินฟราเรดมาจากแสงแดดและสามารถทำให้ภายในรถยนต์ร้อนขึ้น ซึ่งทำให้การขับขี่ในวันร้อนๆ ไม่สบายตัวและเพิ่มภาระให้กับเครื่องปรับอากาศในรถยนต์
การป้องกัน Infrared Rejection
ค่า Infrared Rejection หรือ การป้องกันรังสีอินฟราเรด คือเปอร์เซ็นต์ของรังสีอินฟราเรดที่ฟิล์มกรองแสงสามารถบล็อกหรือป้องกันได้ โดยฟิล์มที่มีค่า IR Rejection สูงจะช่วยลดการเข้าสู่ของความร้อนจากแสงแดดได้มากขึ้น
ลดอุณหภูมิภายในรถ: ฟิล์มที่สามารถป้องกันรังสีอินฟราเรดได้ดีจะช่วยลดอุณหภูมิภายในรถ ทำให้ไม่ต้องใช้เครื่องปรับอากาศมากนัก ลดการใช้พลังงานและทำให้การขับขี่สบายขึ้น
ลดการใช้พลังงาน: การป้องกันการเข้าสู่ของความร้อนจะช่วยประหยัดพลังงาน เนื่องจากเครื่องปรับอากาศไม่ต้องทำงานหนัก
ป้องกันความเสียหายจากความร้อน: ฟิล์มช่วยป้องกันไม่ให้วัสดุภายในรถ เช่น เบาะหนังและพลาสติกจากการเสื่อมสภาพจากความร้อนที่เกิดจากรังสีอินฟราเรด

เมื่อเลือกฟิล์มกรองแสงรถยนต์ ค่าที่สูงของ IR Rejection จะบ่งบอกว่าฟิล์มนั้นมีประสิทธิภาพในการลดความร้อนจากแสงแดดสูงกว่า ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการทำให้รถเย็นขึ้นในช่วงฤดูร้อนหรือในสภาพอากาศร้อน การเลือกฟิล์มที่มี IR Rejection ที่ดีจึงช่วยให้ประสิทธิภาพในการป้องกันความร้อนดีขึ้น โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ขับขี่ในพื้นที่ที่มีแสงแดดจ้า
เมื่อเลือกฟิล์มกรองแสงรถยนต์ ค่าที่สูงของ IR Rejection จะบ่งบอกว่าฟิล์มนั้นมีประสิทธิภาพในการลดความร้อนจากแสงแดดสูงกว่า ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการทำให้รถเย็นขึ้นในช่วงฤดูร้อนหรือในสภาพอากาศร้อน การเลือกฟิล์มที่มี IR Rejection ที่ดีจึงช่วยให้ประสิทธิภาพในการป้องกันความร้อนดีขึ้น โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ขับขี่ในพื้นที่ที่มีแสงแดดจ้า
โดยทั่วไปแล้วค่า IR Rejection จะอยู่ในช่วงไหน?
ฟิล์มกรองแสงที่ดีมักจะมีค่า IR Rejection ตั้งแต่ 40% ถึง 70% หรือมากกว่า ขึ้นอยู่กับประเภทของฟิล์มที่เลือก โดยฟิล์มประเภท เซรามิก หรือ โลหะผสม (Metalized) มักมีค่า IR Rejection ที่สูงกว่าฟิล์มประเภทอื่น ๆ (ปัจจุบันสามารถลด IR สูงสุดได้ ถึง 97% ) เช่น ฟิล์มสีทึบหรือฟิล์มชนิดอื่น ๆ ที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อป้องกันรังสีอินฟราเรดโดยเฉพาะ
TSER : ค่า Total Solar Energy Rejection (TSER) หมายถึง ความสามารถของฟิล์มกรองแสงในการป้องกันการผ่านของพลังงานแสงทั้งหมดที่มาจากแสงแดด ซึ่งรวมถึงทั้งแสงที่มองเห็น (Visible Light) รังสีอินฟราเรด (Infrared – IR) และรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) ที่รวมกันเป็นพลังงานที่ทำให้ภายในรถยนต์ร้อนขึ้น
Total Solar Energy Rejection (TSER) คืออะไร?
TSER คือ เปอร์เซ็นต์ของพลังงานแสงทั้งหมดจากแสงแดดที่ฟิล์มกรองแสงสามารถบล็อกหรือป้องกันได้ ซึ่งพลังงานแสงทั้งหมดนี้ประกอบด้วย:
แสงที่มองเห็น (Visible Light)
รังสีอินฟราเรด (Infrared – IR)
ซึ่งเกี่ยวข้องกับความร้อน
รังสีอัลตราไวโอเลต (UV) ที่ทำให้สีรถยนต์และวัสดุต่าง ๆ เสื่อมสภาพ
การบล็อกพลังงานแสงทั้งหมดจากแสงแดดช่วยทำให้ภายในรถเย็นลงและปกป้องวัสดุภายในจากการเสื่อมสภาพ โดยฟิล์มที่มีค่า TSER สูงจะสามารถป้องกันได้มากขึ้น

ทำไมค่า TSER ถึงสำคัญกับคุณสมบัติฟิล์มกรองแสง?
ค่า TSER สำคัญมากในแง่ของประสิทธิภาพการป้องกันความร้อนและการประหยัดพลังงาน เนื่องจากฟิล์มที่มีค่า TSER สูงจะช่วยในการ:
ลดความร้อนภายในรถ: ฟิล์มที่มีค่า TSER สูงจะช่วยป้องกันการถ่ายเทความร้อนจากแสงแดดได้มากขึ้น ทำให้รถเย็นขึ้นโดยไม่ต้องใช้เครื่องปรับอากาศหนักเกินไป การลดความร้อนนี้จะช่วยให้เครื่องปรับอากาศทำงานน้อยลง ซึ่งจะประหยัดพลังงานและลดการใช้เชื้อเพลิง (ในกรณีของรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์)
ลดภาระการทำงานของเครื่องปรับอากาศ: ค่า TSER ที่สูงจะช่วยให้เครื่องปรับอากาศในรถยนต์ไม่ต้องทำงานหนักเกินไปเพื่อลดอุณหภูมิภายใน ซึ่งช่วยให้ลดการใช้พลังงานไฟฟ้าและประหยัดค่าใช้จ่ายในการเติมน้ำมัน
การปกป้องวัสดุภายในรถ: TSER ที่สูงช่วยลดการเข้าสู่ของรังสี UV ซึ่งทำให้วัสดุภายในรถ (เช่น เบาะ, พวงมาลัย, แผงคอนโซล) ไม่ซีดจางหรือเสื่อมสภาพจากแสงแดด
การเพิ่มความสบายในการขับขี่: การที่ฟิล์มมีค่า TSER สูง จะทำให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารรู้สึกสบายตัวมากขึ้น เนื่องจากอุณหภูมิภายในรถไม่สูงเกินไป โดยเฉพาะในวันที่อากาศร้อนหรือเมื่อรถจอดทิ้งไว้กลางแดด
ค่า TSER ที่ดีควรเป็นเท่าไร?
ฟิล์มกรองแสงที่มีคุณภาพสูงมักมีค่า TSER อยู่ในช่วง 40% – 80% ขึ้นไป โดยฟิล์มที่มีค่า TSER สูงกว่า 50% จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันพลังงานแสงแดดได้ดีเยี่ยม ซึ่งช่วยให้รถเย็นและประหยัดพลังงานได้มากขึ้น ฟิล์มที่มีค่า TSER สูงก็จะเหมาะสำหรับการใช้งานในพื้นที่ที่มีแสงแดดแรง เช่น ในเขตร้อนหรือในช่วงฤดูร้อนที่อุณหภูมิสูง
สรุป
Total Solar Energy Rejection (TSER) เป็นตัวชี้วัดที่สำคัญในการประเมินคุณภาพของฟิล์มกรองแสงในแง่ของการลดความร้อนจากแสงแดด ฟิล์มที่มีค่า TSER สูงจะช่วยลดการเข้าสู่ของพลังงานแสงแดด ทำให้รถเย็นลง ลดภาระการทำงานของเครื่องปรับอากาศ และปกป้องวัสดุภายในรถจากการเสื่อมสภาพจากแสงแดดได้ดี ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สำคัญมากในการเลือกฟิล์มกรองแสงที่มีประสิทธิภาพ
VLT :% Visible Light Transmission (VLT) คือค่า เปอร์เซ็นต์ของแสงที่มองเห็นได้ ที่สามารถผ่านฟิล์มกรองแสงและเข้าสู่ภายในรถยนต์ โดยที่ค่า VLT จะบ่งชี้ว่า ฟิล์มกรองแสงใสหรือทึบแค่ไหน และมันมีความสำคัญอย่างไรในการเลือกฟิล์มกรองแสงที่เหมาะสมสำหรับรถยนต์ของคุณ
Visible Light Transmission (VLT) คืออะไร?
VLT คือ เปอร์เซ็นต์ของแสงที่มองเห็นได้ ที่ฟิล์มกรองแสงสามารถให้ผ่านจากภายนอกเข้าสู่ภายในรถยนต์
ยิ่งค่า VLT สูง ยิ่งหมายความว่า ฟิล์มกรองแสงมีความโปร่งใส และให้แสงผ่านมาก
ยิ่งค่า VLT ต่ำ ฟิล์มจะยิ่ง ทึบ และป้องกันแสงจากภายนอกไม่ให้เข้ามาในรถมากขึ้น
ตัวอย่างค่า VLT
ฟิล์มกรองแสงที่มีค่า VLT 90% หมายความว่า 90% ของแสงที่มองเห็นได้สามารถผ่านฟิล์มไปได้
ฟิล์มกรองแสงที่มีค่า VLT 5% หมายความว่า 95% ของแสงที่มองเห็นได้จะถูกบล็อกไม่ให้ผ่านฟิล์ม
ความสำคัญของค่า VLT กับฟิล์มกรองแสง
ความสะดวกในการมองเห็นและทัศนวิสัย
ฟิล์มที่มีค่า VLT สูง จะให้ทัศนวิสัยที่ดีขึ้นเพราะแสงจากภายนอกสามารถผ่านเข้ามาในรถได้มากขึ้น
ฟิล์มที่มีค่า VLT ต่ำ จะทำให้ภายในรถมีความมืดมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้ทัศนวิสัยการขับขี่แย่ลง โดยเฉพาะในตอนกลางคืนหรือในสภาพแสงน้อย
การป้องกันแสงแดดและความร้อน
ฟิล์มที่มีค่า VLT ต่ำจะช่วยป้องกันแสงแดดและความร้อนจากภายนอกได้มากกว่า เพราะจะมีการบล็อกแสงที่มองเห็นได้จากภายนอกที่เข้าสู่ภายในรถ
สำหรับการใช้งานในพื้นที่ที่มีอากาศร้อนหรือแดดจ้า การเลือกฟิล์มที่มีค่า VLT ต่ำ จะช่วยลดการทำงานของเครื่องปรับอากาศและช่วยให้ภายในรถเย็นขึ้น
ความปลอดภัย
ในบางพื้นที่หรือบางประเทศ กฎหมายเกี่ยวกับการติดฟิล์มกรองแสงจะมีการกำหนดข้อจำกัดของค่า VLT เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ โดยเฉพาะที่กระจกด้านหน้าและกระจกข้าง
ฟิล์มที่มี VLT ต่ำเกินไป อาจทำให้การมองเห็นจากภายนอกในตอนกลางคืนไม่ดี และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุได้
การเลือกฟิล์มตามความต้องการ
ฟิล์ม VLT สูง (70% ขึ้นไป): เหมาะสำหรับการต้องการความโปร่งใส เช่น สำหรับคนที่ไม่ชอบให้รถมืดเกินไป หรือพื้นที่ที่มีแสงไม่มาก
ฟิล์ม VLT ต่ำ (20% – 5%): เหมาะสำหรับการต้องการความเป็นส่วนตัวหรือป้องกันแสงแดดที่แรงมาก เช่น ในเขตร้อนที่แสงแดดจ้า หรือในพื้นที่ที่ต้องการลดความร้อนอย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อกำหนดทางกฎหมายของ VLT
หลายประเทศมีกฎหมายเกี่ยวกับการติดฟิล์มกรองแสงบนกระจกรถยนต์ โดยเฉพาะกระจกด้านหน้าและกระจกข้าง เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ขับขี่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนและไม่เกิดอันตรายจากการขับขี่ในเวลากลางคืนหรือในสภาพแสงน้อย
ตัวอย่างเช่น:
ในบางประเทศฟิล์มที่ติดบนกระจกหน้ารถอาจจะต้องมีค่า VLT ไม่ต่ำกว่า 70%
ฟิล์มบนกระจกข้างอาจมีข้อกำหนดให้มีค่า VLT อยู่ระหว่าง 30% ถึง 70% ขึ้นอยู่กับกฎหมายท้องถิ่น
สรุป
% Visible Light Transmission (VLT) เป็นค่าที่แสดงถึงความสามารถของฟิล์มกรองแสงในการให้แสงที่มองเห็นได้ผ่านจากภายนอกเข้าสู่ภายในรถ ยิ่งค่า VLT สูง ฟิล์มจะยิ่งโปร่งใสมากขึ้นและให้แสงผ่านมากขึ้น ในขณะที่ฟิล์มที่มีค่า VLT ต่ำจะช่วยลดแสงที่มองเห็นได้จากภายนอกเข้าสู่ภายในรถได้มากขึ้น โดยมีผลต่อความสะดวกในการขับขี่, การป้องกันความร้อน, ความปลอดภัยในการขับขี่ และการปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมาย
